วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ดินแดนที่เราเสียไป








ปราสาทเขาพระวิหาร



กลายเป็นประเด็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ให้พูดถึงไม่รู้จบจริงๆ สำหรับ "เขาพระวิหาร" หรือ "ปราสาทเขาพระวิหาร" จนทำให้หลายๆ คนอยากรู้ประวัติ ว่า "เขาพระวิหาร" แห่งนี้มีความเป็นมาอย่างไร และกำลังกลายเป็นว่าที่มรดกโลกได้อย่างไร…? แล้วไทยกับกัมพูชามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไรกับประวัติศาสตร์เขาพระวิหารแห่งนี้…วันนี้เรามีคำตอบมาเฉลยค่ะ และจะพาย้อนตำนานไปศึกษาประวัติเขาพระวิหารกัน ... อย่ารอช้ารีบตามเข้ามาเลยค่ะ เขาพระวิหาร หรือที่หลายๆ คนรู้จักในนาม "ปราสาทเขาพระวิหาร" (Prasat Preah Vihear) และที่ประเทศกัมพูชาเรียกขานว่า "เปรี๊ยะวิเฮียร์" เป็นปราสาทหินตั้งอยู่บริเวณเทือกเขาพนมดงรัก ในพื้นที่ทับซ้อนชายแดนไทย-กัมพูชา ระหว่างบ้านสรายจร็อม อำเภอจอมกระสานต์ จังหวัดพระวิหาร ของประเทศกัมพูชา และบ้านภูมิซรอล ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ใกล้ๆ กับอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร เขาพระวิหาร เป็นบริเวณสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของคนพื้นเมืองสมัยก่อน ในกษัตริย์ชัยวรมันที่ 2 ได้กำหนดเขตบริเวณนี้และเรียกชื่อว่า "ภวาลัย" ภายหลังปรากฏชื่อในจารึกภาษาสันสกฤตว่า "ศรีศิขรีศวร" หมายความว่า "ผู้เป็นใหญ่แห่งภูเขาอันประเสริฐ" ตั้งอยู่บนยอดเขาในเทือกเขาพนมดงรัก ตามแนวเส้นกั้นเขตแดนระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา จากหลักฐานต่างๆ คาดว่าสร้างในปี พ.ศ.1432-1443 ในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 เพื่อใช้เป็นสถานที่สักการะตามความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์ โดยสมมติให้เปรียบเสมือน "เขาพระสุเมรุ" (ศูนย์กลางของจักรวาล) โดยการสร้างนั้นก็มีเหตุผลในการรวบรวมอำนาจและความเชื่อของคนในละแวกนั้นเข้าด้วยกัน เพราะในอดีตแถบนั้นมีผู้คนหลากหลายเชื้อชาติอาศัยอยู่รวมกัน พระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 จึงโปรดให้สร้างเขาพระวิหารขึ้น เพื่อเป็นจุดยึดเหนี่ยวและศูนย์รวมจิตใจของ ชาวบ้านซึ่งจะทำให้การปกครองง่ายขึ้นด้วย ปราสาทเขาพระวิหาร "ปราสาทเขาพระวิหาร" หรือ "ปราสาทพระวิหาร" เป็นโบราณสถานที่มีความงดงาม โดดเด่นอยู่เหนือเทือกเขาพนมดงรัก ซึ่งกั้นพรมแดน ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชามีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 657 เมตร ปราสาทเขาพระวิหารเป็นเสมือนเทพสถิตย์บนขุนเขาหรือ "ศรีศิขเรศร" เป็น "เพชรยอดมงกุฎ" ขององค์ศิวะเทพ (พระอิศวร) ตั้งโดดเด่นอยู่บนยอดเทือกเขาพนมดงรัก มีความยาว 800 เมตร ตามแนวเหนือใต้ ส่วนใหญ่เป็นทางเข้ายาวและบันไดสูงถึงยอดเขา จนถึงส่วนปราสาทประธาน ซึ่งอยู่ที่ยอดเขาทางใต้สุดของปราสาท (สูง 120 เมตรจากปลายตอนเหนือสุดของปราสาท, 525 เมตรจากพื้นราบของกัมพูชา และ 657 เมตรจากระดับ) ปราสาทเขาพระวิหารประกอบด้วยหมู่เทวาลัยและปราสาทหินจำนวนมาก ทั้งหมดสร้างขึ้นเพื่อถวายแด่พระศิวะ ซึ่งเทวาลัยหรือปราสาทหินแห่งแรกสร้างขึ้น เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 9 ซากปรักหักพังของเทวาลัยที่เหลืออยู่ มีอายุตั้งแต่สมัยเกาะแกร์ ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 10 ครั้น และปราสาทเขาพระวิหารเป็นสถาปัตยกรรมอันน่าทึ่ง เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของบรรพชนของ "ขะแมร์กัมพูชา" (ขอม) แต่โบราณ ที่อาศัยอยู่ทั้งในกัมพูชาปัจจุบัน และในภาคอีสานของเรา ขะแมร์กัมพูชา เป็นชนชาติที่มีความสามารถยิ่งในการสร้าง "ปราสาท" ด้วยหินทรายและศิลาแลง ซึ่งขะแมร์กัมพูชาก่อสร้างปราสาทบนเขาพระวิหารติดต่อกันมายาวหลายรัชสมัย กว่า 300 ปี ตั้งแต่กษัตริย์ "ยโสวรมันที่ 1" ถึง "สุริยวรมันที่ 1" เรื่อยมาจน "ชัยวรมันที่ 5-6" จนกระทั่งท้ายสุด "สุริยวรมันที่ 2" และ "ชัยวรมันที่ 7" จากปลายคริสต์ศตวรรษที่ 9 จนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 12 (หรือจากพุทธศตวรรษที่ 15 ถึง 18 หรือก่อนสมัยสุโขทัย 300 ปีนั่นเอง) ทางเข้าสู่ปราสาทประธานนั้น มีโคปุระ (ซุ้มประตู) คั่นอยู่ 5 ชั้น (โคปุระชั้นที่ 5 จึงเป็นส่วนที่ผู้เข้าชมจะพบเป็นส่วนแรก) โคปุระแต่ละชั้นก่อนถึงลานด้านหน้าจะผ่านบันไดหลายขั้น โคปุระแต่ละชั้นจึงเปลี่ยนระดับความสูงทีละช่วง นอกจากนี้โคปะรุยังบังมิให้ผู้ชมเห็นส่วนถัดไปของปราสาท จนกว่าจะผ่านทะลุแต่ละช่วงไปแล้ว ทำให้ไม่สามารถแลเห็นโครงสร้างปราสาททั้งหมดจากมุมใดมุมหนึ่งได้ เดิมทีปราสาทเขาพระวิหารอยู่ในเขตการปกครองของประเทศไทย ขึ้นอยู่กับบ้านภูมิซรอล ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ (ค.ศ.1899, ร.ศ.-118) และเมื่อ พ.ศ. 2442 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ได้เสด็จไปยังปราสาทแห่งนี้ และทรงขนานนามว่า "ปราสาทพรหมวิหาร" ซึ่งต่อมาเรียกกันทั่วไปว่า "ปราสาทพระวิหาร" ซึ่งพระองค์ได้จารึก ร.ศ. และพระนามไว้ที่บริเวณชะง่อนผาเป้ยตาดีว่า 118 สรรพสิทธิ ต่อมาเมื่อปี 2450 จักรวรรดินิยมฝรั่งเศส (ปกครองเขมรขณะนั้น) อาศัยแสนยานุภาพทางทหารบีบให้รัฐบาลสยาม (ไทย) ยอมเขียนแผนที่กำหนดให้เขาพระวิหารอยู่ในดินแดนของกัมพูชา ในการทำสนธิสัญญาเพิ่มเติม รัฐบาลสยามก็ยอมรับแผนที่ที่ฝรั่งเศษสร้างขึ้นมาแต่โดยดีโดยมิได้ทักท้วง (ซึ่งแต่เดิมถ้าแบ่งตามสันปันน้ำเทือกเขาพนมดงรัก เขาพระวิหารจะอยู่ในฝั่งไทยแต่พอแบ่งตามแผนที่ใหม่ของปี 1907จะอยู่ในฝั่งกัมพูชา) อาจจะเป็นเพราะฝรั่งเศสเป็นมหาอำนาจอยู่ในขณะนั้น และคนไทยก็ยังสามารถเข้าไปยังปราสาทเขาพระวิหารได้โดยง่าย ทั้งๆ ที่ไม่ว่าจะตามสนธิสัญญาเดิม พ.ศ.2447 หรือตามสภาพภูมิศาสตร์ กำหนดให้อยู่ในดินแดนของไทยอย่างชัดเจน จนวันที่ 6 ตุลาคม 2502 รัฐบาลเจ้านโรดมสีหนุแห่งกัมพูชา ภายใต้การหนุนหลังของฝรั่งเศส ได้ยื่นฟ้องต่อศาลโลก ขอให้ไทยถอนกองกำลังทหารออกจากเขาพระวิหาร และขอให้ศาลชี้ขาดว่าอธิปไตยเหนือปราสาทเขาพระวิหารคืน (ยื่นฟ้องทั้งหมด 73 ครั้ง) ต่อมาเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2505 ศาลโลกได้ตัดสินให้อธิปไตยเหนือปราสาทเขาพระวิหารเป็นของประเทศกัมพูชา ด้วยคะแนน 9 ต่อ 3 เสียง โดยบริเวณดังกล่าวมีเนื้อที่ประมาณ 150 ไร่ ลักษณะสำคัญของปราสาทเขาพระวิหารจะประกอบด้วย... 1. บันไดดินด้านหน้าของปราสาท ซึ่งบันไดดินด้านหน้าเป็นทางเดินขึ้นลงขนาดใหญ่ อยู่ทางทิศเหนือของตัวปราสาท ลาดตามไหล่เขา บางชั้นสกัดหินลงไปในภูเขา มีขนาดกว้าง 8 เมตร ยาว 75.50 เมตร มีจำนวน162 ขั้น สองข้างบันไดมีฐานสี่เหลี่ยมตั้งเป็นกระพัก (กระพักแปลว่า ไหล่เขาเป็นชั้นพอพักได้) ขนาดใหญ่เรียงรายขึ้นไป ใช้สำหรับตั้งรูปสิงห์ทวาร-บาล (ทะ-วา-ละ-บาน) เพื่อเฝ้าดูแลรักษาเส้นทาง 2. สะพานนาคราช หรือ ลานนาคราช อยู่ทางทิศใต้ของบันไดหินด้านหน้า ปูด้วยแผ่นหินเรียบ มีขนาดกว้าง 7 เมตร ยาว 31.80 เมตร สองข้างสะพานนาคราชสร้างเป็นฐานเตี้ยๆ บนฐานมีนาคราช 7 เศียร จำนวน 2 ตัว แผ่พังพานหันหน้าไปทางทิศเหนือ ลำตัวอยู่บนฐานทั้งสอง ทอดไปทางทิศใต้ ส่วนหางของนาคราชชูขึ้นเล็กน้อย นาคราชทั้งสองตัวเป็นนาคราชที่ยังไม่มีรัศมีเข้ามา ประกอบมีลักษณะคล้ายๆ งูตามธรรมชาติ เป็นลักษณะของนาคราชในศิลปะขอม แบบปาปวน
3. โคปุระ (ซุ้มประตู)ชั้นที่ 5 จะมีภาพวาดโดยปามังติเอร์อยู่ สร้างเป็นศาลาจตุรมุข รูปทรงกากบาทไม่มีฝาผนังกั้น มีแต่บันไดและซุ้มประตูทั้ง 4 ทิศ สร้างอยู่บนฐานบัวสี่เหลี่ยมย่อมุม ฐานสูง 1.8 เมตร บันไดหน้าประตูซุ้มทั้ง 4 ทิศตั้งรูปสิงห์นั่ง เสาโคปุระสูง 3.5 เมตร เป็นศิลปะแบบเกาะแกร์ ยังมีร่องรอยสีแดงที่เคยประดับตกแต่งตัวปราสาทเอาไว้ แต่ส่วนหลังคากระเบื้องนั้นหายไปหมดแล้ว บันไดทางขึ้นโคปุระ ชั้นที่ 5 อยู่ทางทิศเหนือ เป็นบันไดหินมีลักษณะค่อนข้างชัน ทางทิศตะวันออกของโคปุระชั้นที่ 5 มีเส้นทางขึ้นคล้ายบันไดหน้าแต่ค่อนข้างชัน และชำรุดหลายตอน ยาว 340 เมตรถึงไหล่เขา 4. โคปุระ (ซุ้มประตู)ชั้นที่ 4(ปราสาทหลังที่ 2) จะภาพของการกวนเกษียณสมุทร ณ เขาพระวิหาร ถือเป็น "หนึ่งในผลงานชิ้นเอกอุของปราสาทเขาพระวิหาร" ทับหลังเป็นภาพของพระนารายณ์บรรทมสินธุ์อยู่เหนืออนันตนาคราช ซึ่งทางดำเนินจากโคปุระ ชั้นที่ 5 มาเป็นลานหินกว้างประมาณ 7 เมตร สองข้างจะมีเสานางเรียงตั้งอยู่ทั้งสองด้าน แต่ก็มีปรักหักพังไปมาก โคปุระชั้นที่ 4 สร้างเป็นศาลาจตุรมุข มีกำแพงด้านทิศใต้เพียงด้านเดียว ยาว 39 เมตรจากตะวันออกไปตะวันตก กว้าง 29.5 เมตร จากเหนือไปใต้ เป็นศิลปะสมัยหลังโคปุระ ชั้นที่ 5 คือ แคลง/บาปวน ด้านนอกตั้งรูปสิงห์ หน้าบันเป็นภาพของการกวนเกษียณสมุทร 5. โคปุระ (ซุ้มประตู) ชั้นที่ 3 (ปราสาทหลังที่ 1) เป็นโคปุระหลังที่ใหญ่โตมโหฬารที่ยังสมบูรณ์ที่สุด ลักษณะการสร้างคล้ายกับ โคปุระ ชั้นที่ 1 และ 2 แต่ผิดตรงที่มีฝาผนังกั้นล้อมรอบความใหญ่โตมากกว่า และขนาบด้วยห้องสองห้อง ตัวปราสาทประธานนั้นสามารถผ่านเข้าไปทางลานด้านหน้า บันไดกว้าง 3.6 เมตร สูง 6 เมตร สองข้างมีฐานตั้งรูปสิงห์นั่ง 5 กระพัก มุขเหนือหน้าบันเป็นรูปพระกฤษณะยกภูเขาโควรรธนะ ทับหลังเป็นรูปพระนารายณ์ 4 กรทรงครุฑ และจากโคปุระชั้นที่ 3 มีบันได 7 ขั้นขึ้นไปสู่ถนนที่ยาว 34 เมตร มีเสานางเรียงปักรายข้างถนน ข้างละ 9 ต้น ถัดจากเสานางเรียงไปเป็นสะพานนาค 7 เศียร 6. โคปุระ (ซุ้มประตู) ชั้นที่ 2 สร้างเป็นศาลาจตุรมุข มีกำแพงด้านทิศใต้เพียงด้านเดียวอยู่บนไหล่เขาทางทิศเหนือของโคปุระชั้นที่ 2 บริเวณพื้นราบของเส้นทางดำเนินและสองข้างทางขึ้นลงของบันได จะพบรอยสกัดลงในพื้นศิลามีลักษณะเป็นหลุมกลมๆ สำหรับใส่เสาเพื่อทำเป็นปะรำพิธี โดยมีประธานในพิธีนั่งอยู่ในปะรำพิธีเพื่อดูการร่ายรำบนเส้นทางดำเนิน กรอบประตูห้องมีจารึกอักษรขอมระบุบปีศักราชตกอยู่ในสมัยพระเจ้าสุรยวรมันที่ 1 ด้านหน้ามนเทียรมีบันไดตรงกับประตูซุ้มทั้ง 3 ประตู และมีชานต่อไปยังเฉลียงซ้ายและขวา ที่สนามด้านหน้ามีภาพจำหลักตกหล่นอยู่หลายชิ้น เช่น รูปกษัตริย์กำลังหลั่งน้ำทักษิโณฑกแก่พราหมณ์ 7. โคปุระ (ซุ้มประตู) ชั้นที่ 1 สร้างเป็นศาลาจตุรมุข รูปทรงกากบาทไม่มีฝาผนังกั้น มีแต่บันไดและซุ้มประตูทั้ง 4 ทิศ สร้างอยู่บนฐานสี่เหลี่ยม-ย่อมุม บันไดทางขึ้นโคปุระ ชั้นที่ 1 ทางทิศเหนือ เป็นบันไดหินมีลักษณะค่อนข้างชัน เนื่องจากมีความเชื่อกันว่าการที่จะเข้าเฝ้าเทพนั้น จะไปด้วยอาการเคารพนพนอบในลักษณะหมอบคลานเข้าไป ทางทิศตะวันออกมีเส้นทางขึ้นคล้ายบันไดหน้าแต่ค่อนข้างชัน และชำรุดหลายตอนเป็นเส้นทางขึ้นลง ไปสู่ประเทศกัมพูชา เรียกว่า "ช่องบันไดหัก" 8. สระสรง จะอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของทางดำเนินห่างออกไป 12.40 เมตร จะพบสระน้ำรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีขนาดกว้าง 16.8 เมตร ยาว 37.80 เมตร กรุด้วยท่อนหินเป็นชั้นๆ มีลักษณะเป็นขั้นบันได เรียกว่าสระสรงกล่าวกันว่าใช้สำหรับเป็นที่ชำระร่างกายก่อนที่จะกระทำพิธีทางศาสนา
9. เป้ยตาดี เป้ยเป็นภาษาเขมร ซึ่งแปลว่า ชะง่อนผาหรือโพงผา ตามคำบอกเล่าว่านานมาแล้วมีพระภิกษุชรารูปหนึ่งชื่อ "ดี" จาริกมาปลูกเพิงพำนักอยู่ที่นี่จนมรณภาพไป ชาวบ้านจึงเรียกลานหินนี้ว่า "เป้ยตาดี" ซึ่งบริเวณตรงยอดเป้ยตาดีสูงกว่าระดับน้ำทะเล 657 เมตร ถ้าวัดจากพื้นที่เชิงเขาพื้นราบฝั่งประเทศกัมพูชาสูงประมาณ 447 เมตร ตรงชะง่อนผาเป้ยตาดี จะมีรอยสักพระหัตย์ของสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ว่า 118-สรรพสิทธิ แต่ก่อนมีธงไตรรงค์ของไทยอยู่ที่บริเวณผาเป้ยตาดี ในปัจจุบันคงเหลือแต่ฐานไตรรงค์ ปราสาทเขาพระวิหารนับได้ว่าเป็นปราสาทขอมที่สำคัญแห่งหนึ่ง ทั้งในแง่ประวัติศาสตร์การก่อสร้างเทวสถานของฮินดู และยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญทั้งของไทยและกัมพูชาอีกด้วย ซึ่งปัจจุบันอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร มีเนื้อที่ 81,250 ไร่ และได้ประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 โดยได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 115 ตอนที่ 14 ก ลงวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ.2541 นับเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 83 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของไทย อย่างไรก็ตาม เรื่องราวการเสนอให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชา ก็ยังเป็นข้อกังขาของคนไทยหลายๆ คน เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา กลายเป็นประเด็นท็อปฮิตในขณะนี้ และล่าสุดศาลปกครองกลาง ยังได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ระงับมติคณะรัฐมนตรี ที่นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและคณะรัฐมนตรี ได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมรัฐบาลไทย-กัมพูชา ในการที่กัมพูชาจะขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ไว้ก่อนจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ซึ่งบทสรุปเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรต่อไปนั้นเราคนไทยคงต้องติดตามกันค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.kapook.com

วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2551

รวมสูตรความสวยด้วยผลไม้ไทย



สูตรความงามแบบไม่ลับ





กล้วย ผลไม้ที่คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดี แถมยังมีให้หากินได้ตลอดทั้งปี ใครๆ ก็รู้ว่ากล้วยนั้นอุดมไปด้วยวิตามินเอและซี ที่จะไปช่วยชดเชยน้ำหล่อเลี้ยงผิวตามธรรมชาติที่เราสูญเสียไปทุกๆ วัน กล้วยจึงช่วยให้เรามีผิวพรรณดีขึ้นได้ วิธีการก็คือ
นำกล้วยหอมประมาณครึ่งลูกมาบดให้ละเอียด แล้วผสมกับนมสดหรือน้ำผึ้งประมาณ 1 ช้อนชา
พอกหน้าทิ้งไว้สัก 20 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น
ทำอย่างนี้ประมาณสัปดาห์ละครั้ง ผิวหน้าของคุณจะสดใส กระชับ เต่งตึง ++ หากใครเลือกใช้สูตรกล้วยผสมน้ำผึ้ง นอกจากจะนำมาใช้พอกหน้าแล้ว ยังทำเผื่อสำหรับหมักผมได้ด้วยโดยนำไปหมักผมไว้ประมาณ 15 นาทีแล้วล้างออก เพียงเท่านี้คุณก็จะได้เส้นผมที่นุ่มสลวย มีชีวิตชีวา พร้อมใบหน้าอ่อนเยาว์กว่าวัยฝรั่งสดนี่ก็เป็นผลไม้ที่เรารับประทานกันอยู่ทุกวัน ใครเลยจะรู้ว่าฝรั่งสามารถช่วยกระตุ้นและทำความสะอาดผิวหน้าได้ดีเยี่ยม นอกจากจะได้รสชาติที่อร่อยแล้ว ยังได้วิตามินซีไปช่วยดูแลร่างกายอีกด้วย วิธีง่ายๆ คือ
นำเนื้อฝรั่ง 1 ลูกมาปั่น แล้วเอาเฉพาะส่วนที่เป็นเนื้อมาพอกหน้าทิ้งไว้ 15-20 นาทีแล้วล้างออก
ก็จะช่วยให้ใบหน้าที่เคยหมองคล้ำกลับมาผ่อนใสได้


ส่วนน้ำฝรั่งที่เหลือก็อย่าเอาไปทิ้งล่ะ เติมเกลือนิดหน่อย ใครที่ชอบรสหวานอาจใช้น้ำเชื่อมเล็กน้อย มาผสมกันเข้าแล้วดื่มมะม่วงข้อแม้อันดับแรกก็คือ ต้องเป็นมะม่วงสุกเท่านั้นจึงนำมาใช้ได้ วิธีการคือ
นำมะม่วงสุกมาฝานเป็นชิ้นบางๆ แล้วใช้ช้อนยีให้ละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน
จากนั้นก็นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 15 นาที ระหว่างนี้ห้ามขยับใบหน้า ห้ามยิ้ม ห้ามพูดโดยเด็ดขาด
แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด


สูตรนี้จะทำให้ผิวหน้าของคุณเกลี้ยงเกลา สะอาด ไร้รอยเหี่ยวย่น มะละกอ สำหรับคนที่มืออยู่ไม่สุข ชอบบีบหรือแกะเม็ดสิวจนทำให้เกิดจุดด่างดำบนใบหน้า วิธีนี้จะช่วยป้องกันการอักเสบ ช่วยกระตุ้นและละลายสิ่งสกปรกออกจากผิวหน้า ทำให้ใบหน้าสดใส และจุดด่างดำก็จะค่อยจางหายไป
ให้นำมะละกอสุกมาบดให้ละเอียด
แล้วพอกหน้าทิ้งไว้ 15-20 นาทีค่อยล้างออก แตงโม ความชุ่มชื้นของน้ำแตงโมจะช่วยปรับสภาพผิวหน้า หลังการตากแดดให้กลับมามีสภาพดีดังเดิมได้ แค่นี้ผิวพรรณของเราก็จะกลับมาสดชื่นและนุ่มนวลดังเดิม




วิธีการก็ง่ายมาก
โดยการนำน้ำแตงโมงครึ่งถ้วยมาทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้สัก 20-30 นาที
แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นและตามด้วยน้ำเย็นอีกรอบ
หรือจะนำเนื้อแตงโมมาฝานบางๆ ไปแช่เย็น แล้วเอามาวางให้ทั่วบนใบหน้าและลำคอ น้ำส้ม นอกจากจะอร่อยแล้ว น้ำที่นางเอกนิยมดื่มชนิดนี้ ยังเป็นอาหารสำหรับผิวอย่างดีด้วย เนื่องจากน้ำส้มมีวิตามินซีสูง จึงช่วยให้ผิวชุ่มชื่น ไม่มัน ช่วยปรับสมดุล กระชับผิว ปราศจากผดผื่น ไม่ทำให้เกิดสิว และฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ดีด้วย การดูแลในหน้าด้วยน้ำส้ม ทำได้โดย
นำน้ำส้มประมาณ 1/2 ถ้วยมาผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
แล้วทาหน้าทิ้งไว้ 20 นาทีก่อนล้างออก
ทำเป็นประจำสัปดาห์ละครั้ง หรือ 2 ครั้ง จะช่วยให้ใบหน้าเรียบเนียนได้ สตรอเบอร์รี่ เมื่อคนอายุมากขึ้น ใบหน้าก็เริ่มมีริ้วรอย และไม่สดใสเหมือนตอนเป็นวัยรุ่น ปัญหานี้สตรอว์เบอร์รี่ช่วยได้ วิธีทำ
โดยการนำสตรอว์เบอร์รี่ 8-10 ผลมาปั่น ไม่ต้องให้ละเอียดมากนัก
แล้วพอกหน้าทิ้งไว้ 25 นาที ห้ามขยับใบหน้าระหว่างการพอกหน้าด้วย
แล้วล้างออก ทำทุกๆ 3 วันผลที่ได้รับรองว่าจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง++ แถมกันทิ้งท้ายอีกหน่อย ด้วยสูตรบำรุงเส้นผมจากสตรอว์เบอร์รี่
ให้นำสตรอว์เบอร์รี่ 5 ผล ไข่ไก่ 2 ฟอง น้ำมันมะกอก 1 ช้อนชา มาปั่นรวมกัน
แล้วนำมานวดหลังการสระผม ทิ้วไว้ประมาณ 15 นาทีแล้วล้างออก
จะช่วยให้เส้นผมเงางามและมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของสตรอว์เบอร์รี่โชยแตะจมูกทั้งวัน เกือบลืมบอกไปว่า สูตรการบำรุงผิวหน้าด้วยผลไม้ที่นำมาเล่าให้ฟังนี้ ควรทำใช้เป็นครั้งๆ อย่าไปผสมทิ้งไว้ เพราะจะให้สูญเสียคุณประโยชน์จากผลไม้ไปอีกอย่างหนึ่งที่เราต้องตระหนักคือว่า การบำรุงผิวหน้าด้วยวิธีนี้จะต้องใช้เวลา เพราะร่างกายจะค่อยๆ ปรับสภาพผิวให้ดีขึ้น ดังนั้นคนที่รักจะสวยด้วยวิธีธรรมชาติ ต้องท่องคำว่า “ใจเย็น” ไว้ให้ขึ้นใจ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.women.sanook.com

ที่นี่ซิหน้าเที่ยว







น้ำตกเอราวัณ จังหวัดกาญจนบุรี


น้ำตกใหญ่และสวยงามแห่งหนึ่ง อยู่บนฝั่งแม่น้ำแควใหญ่ ในเขตอุทยานแห่งชาติเอราวัณ หรือที่ชาวบ้านเรียก กันว่า "อุทยานแห่งชาติเขาสลอบ" สายธารน้ำตกเอราวัณมีความยาว 2,000 เมตร จากชั้นบนสุดถึงชั้นล่างสุด ไหล ลดหลั่นกันลงมาท่ามกลางผืนป่าอันเขียวขจี แบ่งเป็นชั้นใหญ่ ๆ ได้ทั้งหมด 7 ชั้น โดยจากลานจอดรถ มีทางเดินเท้า เข้าสู่บริเวณน้ำตก เป็นเส้นทางเดินท่ามกลางผืนป่าที่ร่มรื่นและเป็นธรรมชาติ ทางอุทยานฯ ได้จัดเส้นทางไว้อย่างด ีเยี่ยมและไม่อนุญาตให้นำอาหารเข้าไปในบริเวณน้ำตก เพื่อเป็นการรักษาความสะอาดและความเป็นธรรมชาติเอาไว้ ประมาณ 500 เมตร ก็จะถึงน้ำตกชั้นแรก ด้วยโครงสร้างของผาหินปูน น้ำตกเอราวัณ จึงเป็นน้ำตกที่มีลีลาการริน ไหลอ่อนช้อยงดงาม นักท่องเที่ยวควรเดินอยู่บนทางเดินที่ทางอุทยานฯ จัดไว้ให้เท่านั้น เมื่อเดินสูงขึ้นไปจนถึง น้ำตกชั้นที่ 7 หรือชั้นบนสุด ซึ่งธารน้ำจะแยกตกลงมาเป็น 2 สาย สีขาวของสายน้ำที่ตกลงมาจากผาสูงเมื่อมองไกล ๆ จะมีลักษณะคล้ายงาของช้างและหัวของช้างที่ยื่นเดินออกมาจากภูผา จึงได้ชื่อว่า "น้ำตกเอราวัณ"การเดินทาง
อยู่ห่างจากตัวเมือง 65 กิโลเมตร ใช้เส้นทางสายกาญจนบุรี-ศรีสวัสดิ์ (ทางหลวงหมายเลข 3199) เมื่อถึง กิโลเมตรที่ 56 แยกซ้ายข้ามสะพานเข้าตลาดเขื่อนศรีนครินทร์ ตรงไปอีกประมาณ 3 กิโลเมตร จะถึงลานจอดรถ แล้วเดินต่อไปอีก 500 เมตร จะถึงตัวน้ำตก
สำหรับการเดินทางโดยรถประจำทาง มีรถออกจากสถานีขนส่ง ซึ่งอยู่ใกล้กับสำนักงานการท่องเที่ยวแห่ง ประเทศไทย จังหวัดกาญจนบุรี มายังตลาดเขื่อนศรีนครินทร์ทุกวัน และจากตลาดฯ มีรถสองแถวและมอเตอร์ไซด์ รับจ้างเข้าสู่น้ำตก
ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.moohin.com

มาเที่ยวเมืองสุริทร์กันเถอะ



ประวัติความเป็นมา



ย้อนเวลากลับไปเมื่อ 200 กว่าปีที่ผ่านมา ในสมัยสมเด็จพระที่นั่งสุริยาอมรินทร์ กษัตริย์องสุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา ช้างเผือกสำคัญแตกโรงหนีเข้าป่าทางเมืองพิมาย พระองค์จึงโปรดให้ทหารออกติดตาม จนกระทั่งถึงเขตที่ชุมชนชาวกูย (กวย) อาศัยอยู่ ชาวกวยกลุ่มนี้มีความชำนาญในการคล้องช้างและจัลช้างเป็นอย่างยิ่ง ในที่สุดก็สามารถติดตามช้างเผือกจนพบ และนำกลับสู่กรุงศรีอยุธยา ความดีความชอบในครั้งนั้นส่งผลให้หัวหน้าชาวกูยที่เป็นคณะติดตามช้าง ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ พร้อมกับโปรดยกเมืองให้ และหนึ่งในหัวหน้าชาวกูยก็คือ "เชียงปุม" ซึ่งได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "หลวงสุรินทร์ภักดี" และต่อมา ได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น "พระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์ จางวาง" ผู้เป็นเจ้าเมืองคนแรกของจังหวัดสุรินทร์ จากอดีตจนถึงปัจจุบันลูกหลานชาวกูยยังคงสืบทอดมรดกอันล้ำค่าจากบรรพบุรุษ นั่นคือการคล้องช้าง และการเลี้ยงช้างเสมือนหนึ่งสมาชิกในครอบครัว ทำให้ชาวกูยแห่งเมืองสุรินทร์ มีความผูกพันธ์แนบแน่นกับสัตว์บกที่ใหญ่ที่สุดในโลก นามว่า "ช้าง" เป็นเวลาช้านาน ปี 2498 ถือว่าเป็นปีแห่งการชุมนุมช้างของชาวกูยอย่างไม่ได้ตั้งใจก็ว่าได้ ซึ่งการชุมนุมช้างในครั้งนั้นเกิดจากข่าวที่ว่าจะมีเฮลิคอปเตอร์มาลงที่บ้านตากลาง ชาวบ้านจึงพากันไปดูโดยการใช้ช้างเป็นพาหนะในการเดินทาง พอมาถึงจุดที่เฮลิคอปเตอร์ลงจอด ปรากฏว่าช้างที่ไปรวมกันนั้นนับได้ 300 เชือก ทำให้คนที่มากับเฮลิคอปเตอร์ตกใจและแปลกใจมากกว่าชาวบ้านเสียอีก
เหตุการณ์ชุมนุมชุมนุมช้างครั้งนั้น ทำให้คนที่ทราบข่าวต่างพากันสนใจเป็นจำนวนมาก และในปี 2503 อำเภอท่าตูม ซึ่งเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านช้าง ได้มีการฉลองที่ว่าการอำเภอใหม่ นายวินัย สุวรรณประกาศ ซึ่งเป็นนายอำเภอในขณะนั้น ได้เชิญชวนให้ชาวกูยเลี้ยงช้างทั้งหลาย ได้นำช้างของตนออกมาจัดแสดงให้ ประชาชนได้ชมกัน เนื่องจากไม่สามารถไปคล้องช้างตามแนงชายแดนได้ด้วยปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ การแสดงในครั้งนั้น ได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นจำนวนมาก ซึ่งนอกจากจะมีคล้องช้างให้ดูแล้ว ยังมีขบวนแห่ช้าง การแข่งขันวิ่งช้าง และในกลางคืนก็มีมหรสพต่าง ๆ ซึ่งใครจะคาดคิดว่า จากงานเฉลิมฉลองของอำเภอเล็ก ๆ แห่งหนึ่งทางภาคอีสาน เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2503 จะกลายมาเป็นงานประเพณีของชาติที่โด่งดังไปทั่วโลก
ภาพการชุมนุมช้างที่บ้านตากลาง เมื่อปี 2498 (ภาพ:นายพนัส ธรรมประทีป)




กิจกรรมภายในงาน




กิจกรรมงานช้างและกาชาดสุรินทร์ ระหว่างวันที่ 12-23 พฤศจิกายน 2547

1. กิจกรรมงานช้างและกาชาดสุรินทร์ ระหว่างวันที่ 12-23 พฤศจิกายน 2547 ณ สนามกีฬาศรีณรงค์ ในงานมีการจัดนิทรรศการ ของส่วนราชการและเอกชน โดยเน้นให้ความรู้ ความเข้าใจในเรื่องช้างเรื่องการเกษตร ตามหลักนโยบายของรัฐบาล ตลอดจนมีการจัดประกวดสินค้าทางการเกษตร ของดีเมืองสุรินทร์ สินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ พร้อมทั้งการแสดงของศิลปินที่มีชื่อเสียงทุกคืน
2.งานแสดงช้าง กำหนดจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 20 และวันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน 2547 ณ สนามแสดงช้าง
3.การประกวดโตะอาหารช้างกำหนดจัดในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2547 ณ อนุสาวรีย์พระยาสุรินทรภักดีศรีณรงค์จางวาง
4.งานต้อนรับและเลี้ยงอาหารช้าง กำหนดจัดในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2547 เวลา 09.00 น. ณ บริเวณอนุสาวรีย์พระยาสุรินทรภักดีศรีณรงค์จางวาง
5.การแข่งขันจักรยานเสือภูเขา ครั้งที่ 3 กำหนดจัดในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2547 เวลา 15.00 น. ณ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตสุรินทร์

6.การวิ่งราชมงคลเมืองช้างมินิฮาล์ฟมาราธอน ครั้งที่ 4 กำหนดจัดในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2547 เวลา 05.30 น. ณ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตสุรินทร์

7.การแสดงประกอบแสง - เสียง ครั้งที่ 4 เรื่อง สงครามช้างเผือก กำหนดจัดในระหว่างวันที่ 19-20 พฤศจิกายน 2547 ณ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตสุรินทร์

8.การแข่งขันแรลลี่ช้าง ครั้งที่ 2 ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2547 เป็นการนั่งช้างแรลลี่ ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร จากสนามแสดงช้าง ไปตามเส้นทางจนถึงสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตสุรินทร์

การเดินทาง
เครื่องบิน : จังหวัดสุรินทร์ได้ทำการเปิดสายการบินเที่ยวแรก เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2545 โดยสายการบินแอร์อันดามัน ปัจจุบันมีการบิน 4 วัน คือ วันจันทร์ วันอังคาร วันพฤหัสบด และวันเสาร์ี
รถยนต์ : ใช้เส้นทางหมายเลข 1(พหลโยธิน) แล้วแยกเข้าทางหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ) ที่สละบุรีใช้เส้นทางโชคชัย-เดชอุดม (ทางหลวงหมายเลข 24) ผ่านอำเภอนางรอง อำเภอปราสาท จากอำเภอปราสาทเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 214 ตรงเข้าสู่จังหวัดสุรินทร์ รวมระยะทาง 450 กิโลเมตร
รถโดยสารประจำทาง : จากกรงเทพมีรถโดยสารประจำทาง ออกจากสถานีขนส่งสาุยตะวันออกเฉียงเหนือ (หมอชิต 2) ทุกวัน ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่งโมง
รถไฟ : จากสถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) มีรถธรรมดา รถเร็ว รถด่วน และรถดีเซลราง ระยะทาง 420 กิโลเมตร

ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.mthai.com

เมนูอาหารพิชิตเบาหวาน





ยำบ้านต้นซุง




แอ๊นแอ๊น... และแล้วก็ได้ฤกษ์เปิดหน้าเมนูเอกกันเสียทีหลังจากผัดกันมาเรื่อย..(มีแฟนๆ บางคนบอกว่าถ้าเป็นผัดซีอิ๊วก็ผัดได้หลายสิบจานอยู่ :-) ประเดิมเมนูแรกก็เป็นสูตรเด็ดจากร้านบ้านต้นซุง (เมนูนี้เป็นเมนูโปรดของเว็บคุ้กกี้เลยนะขอบอก) อนุเคราะห์ข้อมูลจาก "ร้านบ้านต้นซุง"รสชาติหวานๆ อมเปรี้ยวนิดๆ แถมยังทำง่ายๆเหมาะสำหรับทำกินเล่นกันวันหยุด เอาล่ะเข้าเรื่องเลยดีกว่า



เครื่องปรุง
1. หมูยอ 1 ท่อน (ประมาณ 12-15 ซม.)2. มะม่วงซอย (เอาออกเปรี้ยวหน่อยนะ)3.หอมแดงซอย 4. กุ้งแห้ง5. หมูหยอง
6.. แครอทซอย7. น้ำปลา 2 ช้อนตวง8. น้ำมะนาว 2 ช้อนตวง9. น้ำตาลเชื่อม 2 ช้อนตวง
1. นำหมูยอที่ได้เตรียมเอาไว้ ผ่าเป็นสองซีก ทอดให้เหลือง (อันนี้พ่อครัวบอกว่าชอบนิ่มๆก็ให้ทอดแป๊บเดียวพอ หากชอบออกกรอบๆ หน่อย ก็ให้ทอดด้วยไฟแรง 5-7 นาที จากนั้นนำไปใส่จานรอไว้
2. เอาเครื่องปรุงที่ได้เตรียมไว้คลุกเคล้าให้เข้ากันทั่ว (ลองหยิบมาชิมกันก่อนนิดนึง ชอบหวานเปรี้ยวอย่างไร ก็ปรุงเพิ่มกันตามสะดวก)
3. นำเอาเครื่องปรุงราดหมูยอที่เตรียมไว้ในจาน จากนั้นนำเอาหมูหยอง และแครอทโรยหน้า เป็นอันเสร็จพิธีเท่านี้เราก็ได้อาหารจานเด็ด "ยำบ้านต้นซุง" ที่น่ารับประทาน :-)
ขอขอบคุณข้อความจาก www.thaifooddb.com